Art culture and EntertainmentGeneralInnovation

มิวเซียมสยาม ชวนท่อง “พิพิธภัณฑ์เสมือนจริง” นิทรรศการออนไลน์

มิวเซียมสยาม เปิดตัว “ระบบพิพิธภัณฑ์เสมือนจริง” ขยายโอกาสให้คนทั่วไปเที่ยวชมมิวเซียมสยาม และนิทรรศการถาวรชุดเรียงความประเทศไทย ผ่านช่องทางออนไลน์ในมุมมอง 360 องศา


  นายราเมศ พรหมเย็น ผู้อำนวยการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม)เปิดเผยว่า มิวเซียมสยาม ในฐานะพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ที่มุ่งส่งเสริมสังคมไทยให้เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ได้เปิดตัว “ระบบพิพิธภัณฑ์เสมือนจริง (Virtual Museum)” ขึ้น โดยยกเอามิวเซียมสยาม และนิทรรศการถาวรชุดเรียงความประเทศไทย ซึ่งจัดแสดงมาเป็นระยะเวลา 8 ปี ตลอดจนมีผู้เข้าชมกว่า 2 ล้านคน ขึ้นมาอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อขยายโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงพิพิธภัณฑ์ และองค์ความรู้ได้อย่างทั่วถึง

นายราเมศ กล่าวอีกว่า ผู้ชมใช้เพียงปลายนิ้วสัมผัสก็จะสามารถเที่ยวชมนิทรรศการได้อย่างลื่นไหล โดยผู้ชมสามารถปรับมุมมองได้รอบตัว 360 องศา ในขณะเดียวกันก็สามารถขยายภาพ และคลิกเพื่อดูข้อมูลรายละเอียดในจุดต่างๆ ของนิทรรศการ ซึ่งมีทั้งในลักษณะป็อบอัพคำอธิบาย และการเชื่อมต่อไปยังคลิปวิดีโอที่เกี่ยวข้องในยูทูป โดยถือเป็นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแบบผสมผสาน เพื่อสร้างเสริมการเรียนรู้ที่สนุกสนานให้กับคนทุกเพศ ทุกวัย รวมทั้งชาวต่างชาติด้วย

 สำหรับผู้เข้าชมระบบพิพิธภัณฑ์เสมือนจริงจะรู้สึกเหมือนได้เดินทางไปสัมผัสบรรยากาศ ณ มิวเซียมสยาม ด้วยตนเองโดยเริ่มต้นจากบริเวณด้านหน้าอาคารนิทรรศการ ที่ตั้งตระหง่านประชันกับท้องฟ้าและสนามหญ้าสีเขียวขจี จากนั้นเข้าสู่ด้านในอาคารที่มีการจัดแสดงนิทรรศการถาวรชุด “เรียงความประเทศไทย” ซึ่งบอกเล่าถึงพัฒนาการด้านต่างๆ ของภูมิภาคอุษาคเนย์ นับตั้งแต่สมัยแผ่นดินสุวรรณภูมิ เรื่อยมาจนถึงประเทศไทยในยุคปัจจุบัน ผ่านการนำเสนอถึง 17 ห้องนิทรรศการ ดังต่อไปนี้

            ห้องที่ 1: เบิกโรง (Immersive Theater) เป็นการเบิกตัวละครทั้งเจ็ดที่จะพาผู้ชมย้อนกลับไปสู่เรื่องราวอันเป็นต้นกำเนิด จากสุวรรณภูมิสู่สยามประเทศ ถึงประเทศไทย เพื่อค้นหาคำตอบว่า เราคือใคร และอะไรคือไทย ห้องที่ 2: ไทยแท้ (Typically Thai) เป็นห้องที่ทำให้เกิดความอยากรู้ว่าไทยแท้คืออะไร และเป็นอย่างไรจึงเรียกว่าไทยแท้

ห้องที่ 3: เปิดตำนานสุวรรณภูมิ (Introduction to Suvarnabhumi) เป็นห้องที่แสดงถึงวิวัฒนาการสังคมก่อนจะมา เป็นบรรพบุรุษชาวสุวรรณภูมิ ซึ่งมีใจความสำคัญว่า “สุวรรณภูมิ” คือชื่อที่ชาวโลกเมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อนใช้เรียก   ดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ทางทิศตะวันออกของอินเดีย ส่วนหนึ่งของพื้นที่แห่งนี้มีกรุงเทพฯ ที่ยังนอนสงบนิ่งอยู่ใต้ ทะเล ซึ่งการศึกษาโครงกระดูก หลุมฝังศพ และอารยธรรมที่ฝังอยู่ใต้ดินทำให้รู้จักดินแดนแห่งนี้มากขึ้น   

          ห้องที่ 4: สุวรรณภูมิ (Suvarnabhumi) เป็นห้องที่ทำให้รู้จัก “สุวรรณภูมิ” ดินแดนแห่งความมั่งคั่งผ่านผู้คน การเกษตร การค้า การสร้างเมือง เทคโนโลยีแห่งโลหะ และความเชื่อ (ผี-พราหมณ์-พุทธ) ซึ่งจะทำให้รู้ว่าสุวรรณภูมิ คือ รากเหง้าของประเทศไทย

           ห้องที่ 5: พุทธิปัญญา (Buddhism) สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับหัวใจของพุทธศาสนา ซึ่งมี คาถา เย ธมฺมา (อ่านว่า เย-ทำ-มา) แปลว่า สิ่งทั้งหลายมีเหตุเป็นแดนเกิด คาถายอดนิยมแห่งสุวรรณภูมิ มูลเหตุแห่งความใจกว้างและสันติ

            ห้องที่ 6: กำเนิดสยามประเทศ (The Founding of Ayutthaya) นำเสนอด้วยเทคนิคที่หลากหลาย เพื่อให้เห็นนานา แว่นแคว้นต่างๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นนครรัฐ และสืบสานเรื่องราวของวีรบุรุษผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยาจากตำนานท้าวอู่ทอง เรื่องเล่าที่แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม

          ห้องที่ 7: สยามประเทศ (Siam) กรุงศรีอยุธยามีสภาพภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม ทั้งยังมีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติและด้วยอำนาจทางการเมืองที่กว้างไกล ทำให้สามารถควบคุมการผลิตภายในราชอาณาจักรได้ นอกจากนี้กรุงศรีอยุธยายังเป็นอาณาจักรที่อยู่ใกล้ทะเล จึงพัฒนาตัวเองขึ้นเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลของภูมิภาค และสืบเนื่องจากการ ติดต่อค้าขายนี่เอง ที่ทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างผู้คนและวัฒนธรรม เกิดเป็นความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมที่ หลากหลายขึ้นในแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นการเมือง การทหาร ภาษา และสถาปัตยกรรม         ห้องที่ 8: สยามยุทธ์ (The War Room) สงครามในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีมูลเหตุใหญ่ๆ คือ ความต้องการแสดง พระองค์ของกษัตริย์ ในฐานะ “พระจักรพรรดิ” เหนือพระเจ้าแผ่นดิน และเพื่อกวาดต้อน “คน” อันเป็นแรงงานและกำลังรบรวมถึงการครอบครองสินค้าสำคัญของรัฐอื่น สงครามจึงไม่ใช่เรื่องของรัฐต่อรัฐ หากเป็นเรื่องของพระมหากษัตริย์รัฐ หนึ่งกับพระมหากษัตริย์อีกรัฐหนึ่ง และนอกจากการสู้รบแล้ว ยังมีการแสดงถึงภูมิปัญญา การวางกลยุทธ์ กลุ่มชาติพันธุ์ และศิลปกรรมอีกด้วย

            ห้องที่ 9: แผนที่ความยอกย้อนบนแผ่นกระดาษ (The Map Room) ผืนดินตามธรรมชาติ คงไม่มีเส้นแบ่งใดๆ มาขวางกั้นผู้คน แต่เส้นพรมแดนก็ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ล่าอาณานิคมเพื่อแบ่ง “เขา” สร้าง “เรา” และรวมไปถึงการสร้าง “ชาติ” ให้มีตัวตนขึ้นมาจริงๆ มูลเหตุที่ทำให้เกิดการตัดแบ่งชุมชนเชื้อชาติญาติพี่น้องออกจากกัน

            ห้องที่ 10: กรุงเทพฯ ภายใต้ฉากอยุธยา (Bangkok: New Ayutthaya)เรื่องราว เมื่อครั้งสิ้นกรุงศรีอยุธยาชาวกรุงศรีฯ ก็สร้างเมืองของพวกเขาขึ้นมาใหม่บนผืนดิน “บางกอก” ซึ่งพวกเขาได้จำลองแนวคิดและสืบสานวัฒนธรรมมาจาเมืองเก่ามากมายอีกทั้งเมื่อเริ่มสร้างกรุงใหม่จึงได้เกณฑ์ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติมาช่วยกัน จนเมื่อสร้างเสร็จจึงลงหลักปัก ฐานกลายเป็นชาวกรุงเทพในที่สุด

            ห้องที่ 11: ชีวิตนอกกรุงเทพฯ (Village Life) สื่อให้เห็นถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นและความฉลาดหลักแหลมไม่ว่าจะเป็น ของเล่นอุปกรณ์การดักสัตว์เครื่องมือทำกิน ความเชื่อ และพิธีกรรมที่แสดงให้เห็นถึงอัจฉริยะแห่งการสร้างสรรค์ และ วิถีเกษตรที่ผูกพันกับชาวสยามมาจนถึงทุกวันนี้

            ห้องที่ 12: แปลงโฉมสยามประเทศ (Changes) การติดต่อกับโลกตะวันตก ทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ๆ ในสังคมสยามหลายด้าน การเริ่มสร้างถนน ไม่เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการคมนาคมเท่านั้น หากยังเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนที่คุ้นชินกับ  สายน้ำและความแช่มช้า นับจากนี้ ถนนจะเร่งกงล้อแห่งความเปลี่ยนแปลงให้สยามเปลี่ยนโฉมไปตลอดกาล

ห้องที่ 13: กำเนิดประเทศไทย (Politics & Communications) จากสยามทำไมกลายเป็นไทยห้องนี้จะกระตุ้นให้เกิดการค้นหาคำตอบว่า “วันเกิดประเทศไทยคือวันที่เท่าไหร่” และ “กรมโฆษณาการมาเกี่ยวอย่างไร”

ห้องที่ 14: สีสันตะวันตก (Thailand and the World) เป็นห้องที่แสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์โลกใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา ภายหลังความบอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ในทศวรรษ 1940 เศรษฐกิจที่กำลังรุ่งเรือง ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสเสียงเพลงแห่งความหวัง และสนุกสนาน กล่อมให้ผู้คนลืมความเจ็บปวดจากสงครามไปได้หมดสิ้น และประเทศไทยก็โกย “ดอลล่าร์” จากการเปิดอ้ารับวัฒนธรรมอเมริกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

ห้องที่ 15: เมืองไทยวันนี้ (Thailand Today) ผ่านกาลเวลามากว่า 3,000 ปี มีสิ่งใดบ้างที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น จนฝังตรึงเป็น “ดีเอ็นเอ” ของความเป็นไทย มีสิ่งดีๆ ใดบ้างที่ยังอยู่กับเรา และมีสิ่งดีๆ ใดบ้างที่หล่นหายไปอย่างน่าเสียดาย    ภาวะอันสับสนของคนรุ่นปัจจุบันน่าจะแก้ไขได้ หากทุกคนเรียนรู้ “ความเป็นไทยที่แท้จริง” “ความเป็นไทยที่อยู่บน พื้นฐานของความหลากหลาย” “ความเป็นไทยที่รู้จักเลือกรับและปรับใช้” นั่นคือ การผสมผสานสิ่งดีงามจนกลายเป็น   เอกลักษณ์ของเรา

ห้องที่ 16: มองไปข้างหน้า (Thailand Tomorrow) เป็นห้องที่ตอกย้ำว่า“วันพรุ่งนี้ของประเทศไทยจะเป็นเช่นไร คนรุ่นปัจจุบันเท่านั้นที่จะให้คำตอบได้”มิวเซียมสยามเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่บนเกาะรัตนโกสินทร์ชั้นใน อันเป็นเมืองมรดกที่มีชีวิตของไทย และเป็นศูนย์กลางของจิตวิญญาณคนไทย เพื่อสื่อถึงการนำภาพลักษณ์แห่งอดีตมาใช้สื่อถึงอนาคต เราจึงนำเสนอโดยอธิบายลึกลงไปถึงรายละเอียด ผ่านห้องนิทรรศการต่อไปนี้

ห้องที่ 17: ตึกเก่าเล่าเรื่อง (Building Exhibition) ผู้ชมสามารถเรียนรู้ทุกอย่างในมิวเซียมสยาม นับตั้งแต่ความเป็นมาและพัฒนาการของพื้นที่ในบริเวณนี้ แม้กระทั่งตัวอาคารนิทรรศการ เนื่องจากตอนบูรณะ “อาคารสำนักงาน  ปลัดกระทรวงพาณิชย์ (เดิม)” ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชการที่ 6 เพื่อเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์นั้น ได้มีการค้นพบความเก่งกาจ ของสถาปนิกและช่างในสมัยก่อน

นอกจากนี้ยังจัดให้มีการขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ ซึ่งนำไปสู่การค้นพบรากฐาน ของวังในสมัยรัชการที่ 3 และรัชกาลที่5 ทีมงานผู้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์จึงอยากชักชวนให้ผู้ชมมาสวมวิญญาณเป็น “นักโบราณคดีสมัครเล่น” และค้นหาอดีตของพื้นที่แห่งนี้

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมิวเซียมสยามได้ทำการปิดปรับปรุงอาคารชั่วคราว เพื่อเตรียมพัฒนานิทรรศการถาวรชุดใหม่ซึ่งจะมีกำหนดเปิดตัวในช่วงปลายปี 2560 ทั้งนี้ สำหรับประชาชนที่ยังไม่มีโอกาสได้ไปสัมผัสกับนิทรรศการถาวรชุดเก่า “เรียงความประเทศไทย” ก็สามารถเข้าไปเที่ยวชมนิทรรศการดังกล่าวได้ใน “ระบบพิพิธภัณฑ์เสมือนจริง (Virtual Museum)” ของมิวเซียมสยามที่ www.museumsiam.org/virtualexhibition/accountofthailand  โดยในอนาคตจะมีการนำนิทรรศการชั่วคราวที่เคยจัดแสดง ณ มิวเซียมสยาม มาจัดแสดงเพิ่มเติมในระบบดังกล่าวต่อไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-225-2777 หรือwww.facebook.com/museumsiamfan